วันนี้ผมได้อ่านเจอบทความที่เขานำมาแบ่งปันในกลุ่มไลน์ ได้อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ได้แง่คิดดีจึงนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
หลังจากได้อ่านแล้วลองคิดตามนะครับว่า
เพื่อนๆเห็นด้วยกับแนวคิดของคนเยอรมันรึเปล่า เพราะอะไร
Money is yours but resources belong to the society"
"เงินทองเป็นของคุณก็จริงแต่ทรัพยากรนั้นเป็นสมบัติของส่วนรวมนะ... "
เยอรมันเป็นประเทศซึ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไปไกลแล้ว ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำอย่างเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีเมนส์เป็นต้น ปั๊มพ์ที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศนี้
ในประเทศซึ่งมีการพัฒนาไปไกลเช่นนี้ คนส่วนใหญ่คงคิดว่าประชาชนเยอรมันคงใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย อย่างน้อยนั่นเป็นความรู้สึกของผมก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานที่นั่น..
Money is yours but resources belong to the society"
"เงินทองเป็นของคุณก็จริงแต่ทรัพยากรนั้นเป็นสมบัติของส่วนรวมนะ... "
เยอรมันเป็นประเทศซึ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไปไกลแล้ว ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำอย่างเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีเมนส์เป็นต้น ปั๊มพ์ที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศนี้
ในประเทศซึ่งมีการพัฒนาไปไกลเช่นนี้ คนส่วนใหญ่คงคิดว่าประชาชนเยอรมันคงใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย อย่างน้อยนั่นเป็นความรู้สึกของผมก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานที่นั่น..
เมื่อผมเดินทางถึง ฮัมบรูก เพื่อนร่วมชาติซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นจัดให้มีการเลี้ยงต้อนรับผมที่ภัตตาคาร ขณะที่เราเดินเข้าไปในภัตตาคาร เราพบว่าโต๊ะจำนวนมากว่างอยู่ มีโต๊ะหนึ่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ บนโต๊ะของทั้งคู่มีอาหารอยู่เพียงสองจานและเบียร์อีกสองกระป๋อง
ผมคิดสงสัยอยู่ในใจว่า อาหารมื้อง่ายๆอย่างนี้จะทำให้เกิดบรรยากาศโรแมนติคขึ้นได้อย่างไร และสาวน้อยคนนี้จะเลิกคบกับไอ้หนุ่มขี้เหนียวคนนั้นหรือไม่
มีหญิงสูงอายุอีกสองสามคนนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง เมื่อคนเสิร์ฟนำอาหารมาบริการ เขาจะทำการแบ่งอาหารให้กับลูกค้าเหล่านั้นและทุกคนจะกินอาหารจนหมดสิ้นไม่มีเศษเหลืออยู่บนจานให้เห็น พวกเราไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนเหล่านั้นมากนัก
เพราะเรากำลังนั่งรออาหารหลายจานที่สั่งไปแล้วด้วยความหิวโหย
อาหารเสิร์ฟออกได้รวดเร็วดี คงเป็นเพราะภัตตาคารมีแขกน้อย
เราใช้เวลาในการกินอาหารเย็นมื้อนั้นไม่นานเพราะเรายังมีกิจกรรมอื่นรออยู่
ขณะที่เราลุกออกจากโต๊ะยังมีอาหารเหลือคาจานอยู่อีกราวหนึ่งในสาม ตอนเดินออกจากภัตตาคาร เราได้ยินเสียงใครร้องทักให้หยุด เราหันมอง เห็นเป็นหญิงสูงอายุกลุ่มนั้นกำลังพูดกับเจ้าของภัตตาคารด้วยภาษาเยอรมัน
เมื่อเขาเริ่มพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ เราจึงเข้าใจที่เขาไม่พอใจการกินทิ้งกินขว้างของพวกเรา เราออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เขาเข้ามายุ่มย่ามเกินกว่าเหตุ
"พวกเราจ่ายค่าอาหารแล้วมันไม่ใช่กงการอะไรของพวกคุณสักหน่อย" เพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อ กุย(Gui) ตอกหน้าหญิงสูงอายุเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นโกรธกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน
ไม่นานชายในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่องค์กรสวัสดิการสังคม(Social Security organization)ก็มาปรากฏกาย ภายหลังจากฟังความจนรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สั่งปรับพวกเราเป็นเงิน50มาร์ค พวกเราทุกคนต่างเงียบกริบ เพื่อนซึ่งพักอยู่ในเมืองนี้หยิบเงิน50มาร์คส่งให้ไปพร้อมกล่าวขอโทษขอโพยซ้ำๆ
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวกับเราด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดว่า"สั่งอาหารเท่าที่พวกคุณจะกินได้หมด เงินทองเป็นของคุณก็จริงแต่ทรัพยากรเป็นสมบัติส่วนรวม มีคนอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่อดอยากหิวโหย พวกคุณไม่มีเหตุผลที่จะใช้ทรัพยากรอย่างทิ้งๆขว้างๆ
" สีหน้าพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดง เราเห็นด้วยกับคำพูดของเขาหมดหัวใจ ทัศนคติของผู้คนในประเทศร่ำรวยแห่งนี้ทำเอาพวกเราอับอายขายขี้หน้า
เราต้องทบทวนพิจารณาตัวเองกันจริงๆจังๆในประเด็นนี้ พวกเรามาจากประเทศด้อยพัฒนาที่มีทรัพยากรไม่อุดมสมบูรณ์นัก แต่เพื่อปกปิดปมด้อยเหล่านี้ เราจึงสั่งอาหารมามากมายและจงใจให้เหลือในยามจัดเลี้ยงผู้อื่น บทเรียนนี้สอนเราให้คิดอย่างจริงจังเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยไม่ดีเหล่านี้เสีย
เพื่อนผู้จ่ายค่าปรับถ่ายสำเนาใบเสร็จค่าปรับแล้วมอบให้กับพวกเราทุกคน พวกเราทุกคนรับเก็บไว้โดยดุษฎีและนำแปะไว้ข้างฝาเพื่อเตือนใจตลอดไปว่า เราจะไม่ทำตัวเป็น 'คางคกขึ้นวอ' อีกอย่างเด็ดขาด...
Satapol Ceo
ฝากผลงานและธุรกิจด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น